News & Activities

NS-SUS ลงทุนขยายกำลังการผลิตไลน์การเคลือบดีบุก

บริษัท เอ็นเอส-สยามยูไนเต็ดสตีล จำกัด โดยคุณฮิเดกิ โอกาวะ กรรมการผู้จัดการ (President) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ นิปปอน สตีล คอร์ปอเรชั่น (Nippon Steel) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรีดเย็น เหล็กกัลวาไนซ์ เหล็กกัลวานิล และเหล็กเคลือบดีบุก ในประเทศไทย ได้ตัดสินใจลงทุน ประมาณ 2 พันล้านบาท (ประมาณ 8.9 พันล้านเยน) เพื่อขยายกำลังการผลิตของไลน์การเคลือบด้วยไฟฟ้า (Electric Plating Line - EPL) การลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ผลิตกระป๋องที่ใช้เหล็กเคลือบดีบุกสำหรับบรรจุภัณฑ์

นับแต่ปี พ.ศ. 2506 ที่นิปปอน สตีล (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NS-SUS) เริ่มตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในธุรกิจต่างประเทศของนิปปอน สตีล โดยมีประสบการณ์ มากกว่า 60 ปีในประเทศไทย ปัจจุบัน นิปปอน สตีล ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทในเครือที่อยู่ในประเทศไทย 30 แห่ง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม รวมถึง G/GJ Steel ที่เข้าซื้อกิจการในปี พ.ศ. 2565 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม ประมาณ 17.9 พันล้านบาท (78.8 พันล้านเยน) นิปปอน สตีลได้สร้างงานกว่า 8,000 ตำแหน่ง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยโดยการสร้างซัพพลายเชนที่สมบูรณ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตเหล็กไปจนถึงผู้ใช้ปลายทางในประเทศ

ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออกหลักสำหรับกระป๋องบรรจุอาหาร โดยอุตสาหกรรมนี้มีศักยภาพสูงในประเทศ ความต้องการและตลาดสำหรับเหล็กเคลือบดีบุกที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง NS-SUS จึงตัดสินใจ เพิ่มกำลังการผลิตเหล็กเคลือบดีบุก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการภายในประเทศ ส่งเสริมการผลิตในประเทศ และช่วยเสริมสร้างซัพพลายเชนของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น หลังจากการลงทุนครั้งนี้ กำลังการผลิตเหล็กเคลือบดีบุกของ NS-SUS จะเพิ่มขึ้นจาก 280,000 ตัน/ปี เป็น 350,000 ตัน/ปี โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2570

รายละเอียดการลงทุน

• มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 2 พันล้านบาท (ประมาณ 8.9 พันล้านเยน)
• ดำเนินการปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีอยู่ของไลน์การผลิต  EPL 1 และ EPL 2

ข้อมูลบริษัท

กลุ่มบริษัท นิปปอน สตีล มุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก และยกระดับศักยภาพด้านการผลิต พร้อมมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ผ่านกิจกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะในด้าน “ความรับผิดชอบต่อการผลิตและการบริโภค”